ภูมิหลังแห่งการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
ภูมิหลังแห่งการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง อยู่ในระหว่างปี พ.ศ. 2394-25
ในยุคนี้เป็นช่วงเวลาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศให้เข้าสู่ความทัน
สมัย โดยรับอิทธิพลอารยธรรมตะวันตก
เนื่องจากถูกคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมของชาติตะวันตก เป็นสมัยที่ประเทศ ไทยพัฒนาการเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติ
สมัยนี้เป็นสมัยแห่งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ
สังคม ศิลปวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ
การเลิกทาสและการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
รัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาว่าประเพณีบางอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม
เป็นประเพณีที่ล้าสมัย จึงโปรดให้ยกเลิกประเพณีดังกล่าว
เช่น ห้ามราษฎรเข้าใกล้ชิดรวมทั้งมีการยิงกระสุนเวลาเสด็จพระราชดำเนินและบังคับให้ราษฎรปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะใน พ.ศ.2416 และทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง จึงทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองซึ่งเรียกว่า "การปฏิรูปการปกครอง" แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ตอนต้นรัชกาล และตอนปลายรัชกาล
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะใน พ.ศ.2416 และทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง จึงทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองซึ่งเรียกว่า "การปฏิรูปการปกครอง" แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ตอนต้นรัชกาล และตอนปลายรัชกาล
ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งยกเลิกประเพณีโบราณต่างๆ
ที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ปรากฏว่าสภาทั้ง 2 ดำเนินงานไปได้ไม่นาน
ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า " วิกฤตการณ์วังหน้า
"
เป็นความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ซึ่งดำรงตำแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจาก ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจนเกือบจะมีการประทะกันระหว่างกัน ขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้
เป็นความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ซึ่งดำรงตำแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจาก ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจนเกือบจะมีการประทะกันระหว่างกัน ขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้
ภูมิหลังแห่งการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
การปฏิรูปการปกครองในช่วงหลัง
ส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น
12 กรม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนไปใช้คำว่า "กระทรวง"
แทน และได้ประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ ขึ้น
ยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำแหน่ง
มีสิทธิเท่าเทียมกันในที่ประชุม
ต่อจากนั้นได้ยุบกระทรวงและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่เหลือไว้เพียง 10 กระทรวง คือ
1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงกลาโหม
3. กระทรวงต่างประเทศ 4. กระทรวงวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล) 6. กระทรวงเกษตราภิบาล
7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 8. กระทรวงยุติธรรม
9. กระทรวงธรรมการ 10. กระทรวงโยธาธิการ
11. กระทรวงยุทธนาธิการ ( ต่อมารวมอยู่ในกระทรวงกลาโหม)
12. กระทรวงมุรธาธิการ ( ต่อมารวมอยู่ในกระทรวงวัง)
1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงกลาโหม
3. กระทรวงต่างประเทศ 4. กระทรวงวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล) 6. กระทรวงเกษตราภิบาล
7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 8. กระทรวงยุติธรรม
9. กระทรวงธรรมการ 10. กระทรวงโยธาธิการ
11. กระทรวงยุทธนาธิการ ( ต่อมารวมอยู่ในกระทรวงกลาโหม)
12. กระทรวงมุรธาธิการ ( ต่อมารวมอยู่ในกระทรวงวัง)
ส่วนภูมิภาค ยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก
โท ตรี จัตวา เปลี่ยนเป็นการปกครองแบบเทศาภิบาล คือ
รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าด้วยกันเป็นมณฑลๆ หนึ่ง โดยมีข้าหลวงเทศาภิบาล
เป็นผู้ปกครองมณฑล ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย มี
การแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นเมือง(จังหวัด) อำเภอ ตำบล
และหมู่บ้าน ตามลำดับ
ภูมิหลังแห่งการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
วิกฤตการณ์วังหน้า
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2417-2418
ทรงริเริ่มปฏิรูปปรับปรุงการปกครองประเทศให้ทันสมัย
โดยการดึงอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งระบบหอรัษฎากรพิพัฒน์ (ปัจจุบันคือ กระทรวงการคลัง) เพื่อรวมรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียวกัน
ซึ่งกระทบกระเทือนต่อการเก็บรายได้
สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าแก่เป็นอันมาก โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งเดิมมีรายได้แผ่นดินถึง
1 ใน 3 มีทหารในสังกัดถึง 2,000
นาย และมีข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก และเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ
มีการสะสมอาวุธ มีความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ทั้งยังทรงระแวงว่าจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่ได้รับการทรงแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยตรง จนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งเรียกเหตุการณ์ขัดแย้งนี้ว่า วิกฤตการณ์วังหน้า
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และเข้าไปคบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส
น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม
ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง
เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสองส่วนคือ ทางเหนือถึงเชียงใหม่
ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าครอง ทางใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง
นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้วจะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
ความบาดหมางระหว่างพระบรมมหาราชวังและวังหน้า
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญจึงทรงระดมกำลังเพิ่มในวังหน้า กระทั่งปลายเดือนธันวาคม
พ.ศ. 2417 เกิดอัคคีภัยใกล้กับโรงเก็บดินปืนและโรงก๊าซในวังหลวง
ทางวังหน้าจะนำทหารพร้อมอาวุธไปช่วยดับเพลิง แต่วังหลวงไม่อนุญาต
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงระแวงว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงกำจัดหรือลิดรอนสิทธิอำนาจของพระองค์
จึงทรงหนีไปอยู่สถานกงสุลอังกฤษ และเรียกร้องให้ข้าหลวงอังกฤษมาช่วยไกล่เกลี่ย
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและทรงบอกไม่ให้พวกอังกฤษมาแทรกแซง
"วิกฤตการณ์วังหน้า" ยุติลงในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น