มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
สงครามระหว่าง ไทย - พม่า ในสมัยพระนเรศวร
ข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นรายละเอียดการศึกสงครามระหว่าง
ไทย - พม่า ในสมัยพระนเรศวร
ซึ่งทางฝ่ายพม่าได้บันทึกเรื่องราวการสงครามไว้แตกต่างจากหลักฐานทางฝ่ายไทย
โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารที่ชำระกันในสมัยธนบุรี - รัตนโกสินทร์
โดยพงศาวดารพม่าฉบับนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ทำการแปลโดย นายต่อ ( หม่องต่อ )
และได้ใช้ชื่อพงศาวดารฉบับนี้ว่า " มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า "
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ฝ่ายพระเจ้ากรุงหงษาวดีก็เสด็จประทับอยู่ที่กรุงอังวะโดยช้านาน
ขณะนั้นพระนเรศก็ยกกองทัพอยุทธยารวม
๑๒ ทัพ มาช่วยโดยล้าหลัง แต่มีช้างรบมา ๓๐๐ ม้า ๓๐๐๐ พลทหาร ๖๐๐๐๐
เวลานั้นพระนเรศทราบว่าพระเจ้ากรุงหงษาวดีเสด็จขึ้นอยู่ที่กรุงอังวะ
พระนเรศหาตามเสด็จไปช่วยทางกรุงอังวะไม่ พระนเรศตรงมาทางกรุงหงษาวดี
ฝ่ายพระมหาอุปราชผู้รักษากรุงหงษาวดีทรงทราบ
พระองค์จึงมีรับสั่งให้ข้าหลวงไปแจ้งความกับพระนเรศว่า บัดนี้พระราชบิดาเสด็จไปตีกรุงอังวะ
โดยเหตุนี้ขอพระนเรศตามเสด็จไปยังกรุงอังวะเทอญเมื่อข้าหลวงไปพูดดังนั้นพระนเรศก็ไม่ฟัง
พระนเรศตรงยกเข้ามาตีกรุงหงษาวดี
ฝ่ายพระมหาอุปราชเห็นว่าพระนเรศไม่ซื่อตรงต่อพระองค์
ๆ จึงมีรับสั่งให้ขุนนางข้าราชการนายทัพนายกองทั้งปวงขึ้นรักษาบนเชิงเทินกำแพงเมือง
เวลานั้นครั้นพระนเรศยกมาถึงกรุงหงษาวดีก็ตั้งค่ายล้อมกรุงหงษาวดีไว้
ขณะนั้นฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีก็ทรงยกกองทัพกลับยังกรุงหงษาวดีแต่ยังมิทันเสด็จถึง
ฝ่ายพระนเรศทราบว่าพระเจ้ากรุงหงษาวดีเสด็จกลับมายังกรุงหงษาวดี
พระนเรศก็ไม่อาจจะตั้งค่ายอยู่ที่กรุงหงษาวดีแล้วพระนเรศก็กลับไปทางมุตมะเที่ยวเก็บต้อนพวกราษฎรชายหญิงทั้งฝั่งตวันออกนั้นไปยังกรุงศรีอยุธยาเปนอันมาก
ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีทรงทราบว่าพระนเรศกระทำดังนั้น
พระองค์ก็ทรงจัดให้พระยาจันทร์โตทัพ ๑ แล๊ดต่อเชลอถิงทัพ ๑ พระยาปราณทัพ ๑
ภะยะกามณีทัพ ๑ รวม ๔ ทัพนี้ ช้างรบ ๔๐๐ ม้า ๔๐๐๐ พลทหาร ๕๐๐๐๐
มีรับสั่งให้รีบยกจากกรุงอังวะไปตามตีพระนเรศ
ครั้นพระองค์ทรงจัดให้กองทัพยกไปแล้ว
พระองค์ก็เสด็จลงมากรุงหงษาวดี ครั้นเสด็จถึงกรุงหงษาวดี
พระองค์ทรงพระดำริห์เห็นว่ากองทัพที่ยกไปตีพระนเรศนั้นยังน้อยนัก
พระองค์จึงทรงจัดให้สมิงลครอินทัพ ๑ ราชสังจรันทัพ ๑ สมิงแรสังรันทัพ ๑
นันทจอถิงทัพ ๑ พระญาลอทัพ ๑ ศิริธรรมโสกทัพ ๑ พระมหาอุปราชพระราชโอรสทัพ ๑ รวม ๗
ทัพนี้ ช้างรบ ๕๐๐ ม้า ๕๐๐๐ พลทหาร ๗๐๐๐๐
ครั้นทรงจัดเสร็จแล้วมีรับสั่งให้รีบยกไปบรรจบกับพระยาจันโตซึ่งยกไปก่อนนั้นครั้นกองทัพยกไปถึงตำบลบ้านจุกครีฝั่งเหนือกรุงศรีอยุธยาก็ตั้งค่ายลงที่ตำบลจุกครีนั้น
ฝ่ายพระนเรศทราบก็ยกพลทหารออกมาตีกองทัพกรุงหงษาวดี
ๆ เสียทีก็แตกย่นลงมา กิติศัพท์อันนั้นทรงทราบไปถึงพระเจ้ากรุงหงษาวดี ๆ
ทรงดำริห์เห็นว่ากรุงศรีอยุทธยานี้ ซึ่งจะตีเอาโดยง่ายนั้นไม่ได้ประการหนึ่งพลทหารที่ยกไปนี้ก็ยังน้อยนักแลจวนฤดูฝนจะลงแล้วด้วยครั้นพระองค์ทรงพระดำริห์ดังนั้นแล้ว
พระองค์ก็มีรับสั่งให้มหาอุปราชพระราชโอรสยกกองทัพกลับยังกรุงหงษาวดี
ฝ่ายพระนเรศทราบว่ากองทัพกรุงหงษาวดีกลับก็มีความยินดีแล้วพูดว่าบัดนี้อุปราชกลับแล้ว
ถ้าสืบไปความที่เราคิดไว้นั้นคงจะสำเร็จตามความประสงค์เราเปนแน่แท้
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ครั้นถึงเดือน
๕ จุลศักราช ๙๔๗ พระเจ้าหงษาวดีทรงจัดให้กองทัพยกไปตีกรุงศรีอยุทธยาอีก
ด้วยพระองค์ทรงจัดให้แล๊ดเชจอถิงทัพ ๑ พระยาจันโตทัพ ๑ ภะยะกามณีทัพ ๑ พระยาลอทัพ
๑ นันทจอถิงทัพ ๑ พระยาปราณทัพ ๑ นันทสุริยทันทัพ ๑ สมิงสังจายทัพ ๑
ศิริเชยะจอถิงทัพ ๑ พระยาพาตทัพ ๑ ศิริธรรมโสกทัพ ๑ ทางเมืองเชียงใหม่นั้น
คือพระยาแสนหลวงทัพ ๑ พระยาสันลันทัพ ๑ พระยาน่านทัพ ๑ สมิงพลีทัพ ๑
สมิงแรสังรันทัพ ๑ สมิงลครอินท์ทัพ ๑ พระยาตุไรทัพ ๑ มหาอุปราชทัพ ๑ รวม ๑๙ ทัพ ๆ
นี้ช้างรบ ๑๐๐๐ ม้า ๑๑๐๐๐ พลทหาร ๑๐๒๐๐๐
ครั้นทรงจัดเสร็จแล้วทรงให้ยกไปตีกรุงศรีอยุทธยา ครั้นยกไปถึงตำบลละคร
ฝ่ายพระนเรศเจ้าอยุทธยาทราบจึงจัดพลทหาร
รวม ๑๑ ทัพ ยกออกมารับ
ฝ่ายนันทะจอถิง
ภะยะกามณี พระยาจันโต แล๊ดเชจอถิง ๔ ทัพนี้ได้แยกกันออกตีกองทัพพระนเรศ
ทัพหน้าพระนเรศทนไม่ได้ก็แตกย่นลงไปถึงที่ตำบลจุกครี
ฝ่ายพลทหารกรุงหงษาวดีเห็นว่าได้ทีก็ตามตีก็จับช้างของพระนเรศไว้ได้ ๓๐ เศษ
กับพลทหาร ๒๐๐๐ เศษ
ฝ่ายพระนเรศก็เข้าตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลจุกครีในค่ายเก่าของพม่าที่ยกกองทัพมาครั้งก่อนนั้น
จึงได้ตั้งค่ายทัน
ฝ่ายพลทหารกรุงหงษาวดีก็เข้าตีค่ายพระนเรศครั้งหนึ่งสองครั้งก็ไม่ได้
เพราะทนลูกกระสุนปืนของพระนเรศไม่ไหวจึงต้องถอยมาตั้งมั่นอยู่
ครั้นตั้งอยู่ที่นั่นประมาณเดือน ๑
พระมหาอุปราชก็มีรับสั่งให้ขุนนางข้าราชการนายทัพนายกองทั้งปวงเข้าเฝ้าแล้วทรงตรัสว่าบัดนี้เราได้เข้าตีกองทัพอยุทธยาก็ไม่แตก
กองทัพอยุทธยาก็ไม่ออกมาตีซึ่งตั้งมั่นอยู่เช่นนี้
เราเห็นว่าถ้าตั้งอยู่เช่นนี้ช้านานเห็นจะไม่ได้เพราะเสบียงอาหารเบาบางน้อยลงแล้ว
พวกบรรดาพลทหารก็จะได้ความลำบากอดอยากเปนแน่ ภายหลังจะถอยทัพก็จะเปนที่ลำบาก
เพราะฉนั้นเราจะรออยู่เช่นนี้ไม่ได้
จะได้จะเสียประการใดก็รีบยกตีเสียโดยด่วนจึงจะสำเร็จราชการเร็ว
เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งดังนั้นพระยาแสนหลวงทูลว่า
บัดนี้ถ้าฝ่ายเราจะเข้าตีกองทัพอยุทธยาเล่าข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าค่ายของอยุทธยานั้นแน่นหนามั่นคงนัก
ประการหนึ่งคูก็กว้างขวาง สาตราอาวุธก็มาก แล้วฝ่ายทหารนายทัพนายกองของเขาก็แข็งพร้อมมือกันไม่คิดแก่ชีวิตร์
แลที่จะตายนั้นเขาไม่กลัว เขากลัวแต่นายของเขาเปนกำลัง
บัดนี้ที่พระองค์รับสั่งจะออกรบนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า
คงไม่มีไชยชะนะเปนแน่ เพราะเปนบ้านเมืองของเขาเขาจะไม่ออกรบ
ฝ่ายเราก็ไม่รู้ที่จะทำอย่างไรดุจเข็นครกขึ้นเขา
ประการหนึ่งเวลานี้เสบียงอาหารก็เบาบางน้อยลงแล้ว
โดยเหตุนี้ขอพระองค์ล่าทัพถอยจึงจะควร
เมื่อพระยาแสนหลวงทูลดังนั้น
มหาอุปราชก็เห็นชอบด้วย แล้วพระองค์ก็ทำเปนจะล่าทัพฬอให้พระนเรศตามตี
ในเวลานั้นพระองค์ทรงจัดให้ภะยะกามณี ๑ นันทจอถิงทัพ ๑ สมิงแรสสังทัพ ๑
สมิงลครอินทัพ ๑ พระยาแสนหลวงทัพ ๑ รวม ๖ ทัพ ๆ นี้ช้างรบ ๓๐๐ ม้า ๔๐๐๐ พลทหาร
๖๐๐๐๐ ให้ตั้งคอยตีกองทัพพระนเรศฝ่ายขวา แล้วพระองค์ทรงจัดให้พระยาปราณทัพ ๑
นันทศิริยทัพ ๑ สมิงมังจายะทัพ ๑ ศิริธรรมโสกทัพ ๑ พระยาน่านทัพ ๑ รวม ๖ ทัพ ๆ
นี้ช้างรบ ๓๐๐ ม้า ๔๐๐๐ พลทหาร ๖๐๐๐๐ ให้ตั้งคอยตีกองทัพพระนเรศฝ่ายซ้าย
ครั้นแล้วพระองค์ทรงจัดให้แล๊ดเชจอถิงทัพ
๑ พระยาปรีทัพ ๑ ศิริไชยจอถิงทัพ ๑ พระยาพาตทัพ ๑ พระยาตุไรทัพ ๑ พระยาสังรันทัพ ๑
มหาอุปราชทัพ ๑ รวม ๗ ทัพๆ นี้มีช้างรบ ๔๐๐ ม้า ๑๐๐๐ พลทหาร ๖๐๐๐๐
ฝ่ายพระนเรศเห็นว่า
กองทัพกรุงหงษาวดีกลับก็ยกตามตี ครั้นใกล้ก็เห็นกองทัพขวาภะยะกามณีตีเข้ามา
แต่เจ้าอยุทธยาหามาตีกองขวาไม่ กลับตลบไปตีกองซ้าย ฝ่ายพระยาปราณ แลนันทจอถิง
ทนฝีมือกองทัพอยุทธยาไม่ได้ ก็แตกระส่ำระสายไม่เปนขบวน
แล้วพระนเรศเลยเข้าตีกองกลาง ๆ ก็แตก กับเลยไปตีภะยะกามณีกองขวาทนฝีมือภะยะกามณีไม่ได้
แล้วเห็นว่ากองทัพภะยะกามณีแน่นหนานักพระนเรศก็ถอย
ในขณะนั้นพระนเรศก็เข้าจับพลทหารแลช้างม้ากรุงหงษาวดีที่แตกอยู่นั้นกลับไปยังค่าย
ฝ่ายภะยะกามณี
๖ ทัพ ก็เที่ยวเก็บไพร่พลทหารแลช้างม้าที่แตกทัพนั้นรวบรวม
แล้วก็เฝ้ามหาอุปราชแล้วพร้อมกันทูลว่า
ในคราวนี้ถึงแม้สมเด็จพระเจ้ากรุงหงษาวดีมิได้มีรับสั่งเรียกกลับก็ดี
แต่พระองค์ทรงเสด็จกลับเสียก่อนเทอญ
เมื่อนายทัพนายกองทูลดังนั้นพระองค์ก็ทรงเก็บรวบรวมพลทหารแล้วก็เสด็จกลับกรุงหงษาวดีในเดือน
๙ จุลศักราช ๙๔๘
ครั้นเดือน
๔ จุลศักราช ๙๔๘ ปีนั้น พระเจ้ากรุงหงษาวดีพระองค์มีรับสั่งให้ขุนนางทั้งปวงเข้าเฝ้า
แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า
บัดนี้เราได้ใช้พลทหารยกไปตีและปราบปรามพวกขบถอยุทธยาหลายครั้งแล้วก็ยังไม่สำเร็จราชการเลย
เพราะฉนั้นพวกเราจะเห็นประการใดที่จะให้อยุทธยาราบคาบเรียบร้อย
เมื่อพระองค์ทรงตรัสดังนั้น พระยาจันโตทูลว่า
ถ้าพระองค์ไม่ปราบปรามให้กรุงศรีอยุทธยาเรียบร้อยแล้ว
ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าพวกบรรดาหัวเมืองเช่นเมืองลาว เมืองล้านช้าง
เมืองละโว้ เมืองเวียงจันบุรี ลาวญวน ก็จะกระด้างกระเดื่องแข็งเมืองขึ้นเปนแน่
โดยเหตุนี้ขอพระองค์ทรงเสด็จยกพยุหโยธาทัพใหญ่เปนศึกพระมหากระษัตริย์ไปจึงจะควร
ถ้าหาไม่แล้วสืบไปเบื้องหน้าพระเจ้าลูกและพระเจ้าหลานก็จะไม่ได้สืบตระกูลครองราชสมบัติต่อไปเปนแน่
อนึ่งพระราชบิดาของพระองค์ที่สวรรคตนั้น
พระองค์ได้ทรงเที่ยวตีเมืองใหญืและเมืองน้อยไว้
มิได้เห็นแก่ความลำบากนั้นพระองค์ก็ตั้งพระไทยให้เปนมรฎกแก่พระเจ้าลูกและพระเจ้าหลานเท่านั้น
เพราะฉนั้นพระองค์ทรงเสด็จยกกองทัพใหญ่ไปปราบปรามพวกขบถ
เพื่อจะได้เปนเกียริยศเบื้องหน้าไว้จึงจะควร
เมื่อพระยาจันโตทูลดังนั้นพระองค์ทรงเห็นชอบด้วย
แล้วพระองค์ทรงตรัสให้นันทจอถิงทัพ
๑ สมิงแรสังรันทัพ ๑ พระยาปราณทัพ ๑ แล๊ดเชจอถิงทัพ ๑ พระยาลอทัพ ๑ นันทสุริยะทัพ
๑ ศิริไชยจอถิงทัพ ๑ สมิงนครอินท์ทัพ ๑ ภะยะกามณีทัพ ๑ พระยาพาตทัพ ๑
ศิริไชยนรทาทัพ ๑ สมิงงอฝางทัพ ๑ ราชสังจรันทัพ ๑ แอมอญตราทัพ ๑ เนมะโยจอถิงทัพ ๑
สมิงสังจายะทัพ ๑ ศิริธรรมโสกทัพ ๑ ตองงูบุเรงทัพ ๑ ( ตองงู บุเรงนี้แปลว่ากรม
ตองงูนั้นคือเมือง ) สาดอนัดชินหน่องพระราชบุตร์ของตองงูบุเรงทัพ ๑
เกณฑ์ทางฝ่ายเชียงใหม่นั้น คือพระยาแสนหลวงทัพ ๑ พระยาน่านทัพ ๑ พระยาแพร่ทัพ ๑
พระยาตุไรทัพ ๑ แล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จด้วยกระบวนใหญ่ ยกไปตีกรุงศรีอยุทธยา แต่ ๒๔
ทัพนี้ช้างรบ ๑๒๐๐ ม้า ๑๒๐๐๐ พลทหาร ๒๕๒๐๐๐ ทรงเสด็จยก ณ วัน ๑ ฯ ๑๒ จุลศักราช ๙๔๘
แต่ที่กรุงหงษาวดีนั้นให้อุปราชพระราชโอรสอยู่รักษากรุง
ขณะนั้นฝ่ายพระนเรศเจ้าอยุทธยาทราบว่าพระเจ้าหงษาวดีได้ทรงเสด็จยกพยุหโยธาทัพใหญ่มามากมายนัก
พระนเรศจึงเที่ยวเก็บเสบียงแลพลทหารแลพลเมืองที่มีฝีมือเอาเข้าในเมืองสิ้น
แล้วปิดประตูเมืองลงเขื่อนไว้โดยแน่นหนามั่นคง
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีครั้นเสด็จมาถึงกรุงศรีอยุทธยาก็ทรงจัดให้พลทหารแลนายทัพนายกองทั้งปวงแยกย้ายกันเข้าตีทุกทิศทุกทาง
ฝ่ายข้างพระนเรศก็ขับให้พลทหารเอาปืนใหญ่น้อยยิงระดมออกมาถูกพลทหารกรุงหงษาวดีล้มตายนับมิถ้วน
ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีมิอาจสามารถที่จะตีเอาเมืองได้
ก็เปนแต่ล้อมเมืองไว้
แต่การที่ล้อมนั้นก็ล้อมไม่สู้จะเรียบร้อยทั่วถึงกันได้เพราะแม่น้ำทวาราวดีกว้าง
ครั้นล้อมอยู่ประมาณ ๔-๕ เดือน
พวกบรรดาพลทหารทั้งปวงก็ได้ความลำบากอดอยากแลเจ็บป่วยล้มตายกันขึ้นเปนอันมาก
ฝ่ายข้างพระนเรศทราบว่าพวกพลทหารข้างกรุงหงษาวดีอดอยากเจ็บป่วยล้มตายแลการที่ล้อมนั้นก็อ่อนแอเบาบางลงมาก
พระนเรศจึงได้ยกออกตีบ้าง ยกออกปล้นค่ายบ้าง ครั้นอยู่ได้ ๔-๕ วันยกออกตีอิก
พระนเรศเปนแต่ออกตีอยู่ดังนั้น พลทหารกรุงหงษาวดีก็ถูกสาตราอาวุธตายบ้าง
อดตายบ้างเปนอันมาก พระเจ้าหงษาวดีพระองค์ทรงเห็นดังนั้น
พระองค์จึงรับสั่งให้ขุนนางข้าราชการทั้งปวงเข้าเฝ้าแล้วทรงตรัสว่าบัดนี้เราได้ยกกองทัพมาตีกรึงศรีอยุทธยานั้นเราเสียทีฝ่ายเดียว
การที่เราเสียทีนั้น
คือชั้นแรกเราปล่อยให้ข้าศึกเก็บรวบรวมเสบียงอาหารเข้าไว้ในเมืองอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นธรรมดาทัพนั้นข้างฝ่ายหนึ่งถึงแม้ว่าจะน้อยตัวก็ดีถ้าเขามีเสบียงอาหารพอเพียง
แลมีที่ตั้งมั่นคงดีแล้วฝ่ายข้างที่ไม่มีเกณฑ์อะไรเปนที่ตั้งนั้นก็ย่อมเสียเปรียบกันอยู่เอง
โดยเหตุนี้พวกเจ้าจะคิดทำประการใดจึงจะควร
เมื่อพระองค์มีรับสั่งถามดังนั้น
ในเวลานั้นแล๊ดเชจอถิงกราบบังคมทูลว่า
บัดนี้พระองค์ได้มาล้อมกรุงศรีอยุทธยาไว้นั้นประมาณ ๗ เดือน
แล้วก็ยังหามีไชยชะนะสักครั้งหนึ่งเลย เพราะค่ายคูประตูหอรบกรุงศรีอยุทธยานี้มั่นคงแข็งแรงนัก
ประการหนึ่งเล่าคูเมืองแลแม่น้ำก็กั้นอยู่กว้างและลึกนัก
โดยเหตุฝ่ายข้างพระองค์ทำการไม่ถนัด
อิกประการหนึ่งเวลานี้พวกพลทหารทั้งปวงก็เจ็บไข้ได้พยาธิ
แลอดอยากล้มตายเปนอันมากแล้ว เพราะฉนั้นขอพระองค์ทรงเสด็จกลับยังมหานครเสียก่อน
ปีนี้ก็จวนฤดูฝนจะลงแล้ว
เมื่อปีหน้าฟ้าใหม่จึงทรงเสด็จยกพร้อมกับพวกเจ้าประเทศราชทั้งปวงเปนพยุหใหญ่มาตีก็จะมีไชยชนะกรุงศรีอยุทธยาเปนมั่นคง
เมื่อแล๊ดเชจอถิงทูลดังนั้น
พระองค์ก็ทรงเห็นชอบด้วย
แล้วพระองค์ทรงจัดให้พระยาปราณควบคุมพวกบรรดาพลทหารที่เจ็บป่วยนั้นให้รีบยกไปก่อน
แล้วทรงจัดให้นัดชินหน่องราชบุตร์ของตองงูบุเรงเปนทัพหลังสำหรับป้องกัน
แต่พระองค์ก็มีรับสั่งให้ทัพหลังตามเสด็จเดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ จุลศักราช ๙๔๙
แต่พระองค์ได้ทรงเสด็จยกตั้งแต่เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ
ฝ่ายพระนเรศทราบว่าพรเจ้าหงษาวดีเสด็จกลับ
พระนเรศจัดพลทหาร ๑๕ ทัพรีบตามตี ครั้นตามมาถึงตำบลบ้านท่าล้อใหม่แถบอันตอ (
แถบอันตอ ๆ นี้ไม่ได้ความ ) พระนเรศก็ทันทัพเข้าก็เข้าตีกองทัพนัดชินหน่อง ๆ
ก็กลับตีเอากองทัพพระนเรศถอยกลับไปตำบลบ้านอันตอ แต่พระเจ้าหงษาวดีเสด็จถึงกรุงหงษาวดี
ณ วัน ๓ ฯ ๘ จุลศักราช ๙๔๙
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ครั้นจุลศักราช
๙๕๒ ปี เจ้าประเทศราชเงี้ยวเจ้าฟ้าเมืองก่องเปนขบถ ครั้นพระองค์ทรงทราบ
พระองค์จึงมีรับสั่งให้ขุนนางข้าราชการทั้งปวงเข้าเฝ้า
แล้วทรงรับสั่งเรื่องเปนขบถนั้น ศิริไชยนรทากราบบังคมทูลว่า ซึ่งเกิดเปนขบถนี้
ควรจัดให้ยกทัพไปตีเสียกองหนึ่งแต่ที่พระนเรศกรุงศรีอยุทธยาเปนขบถนั้นพระองค์ทรงเสด็จยกไปตีหลายครั้งแล้วก็ยังไม่มีไชยชะนะสักครั้ง
เพราะฉนั้นข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้า
ฯ ว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงปราบปรามให้พวกขบถเหล่านี้ราบคาบแล้ว
ไปภายหลังประเทศราชลาวญวนทั้งปวงก็จะกระด้างกระเดื่องขึ้นเปนแน่
โดยเหตุนี้ขอพระองค์ทรงจัดให้ไปตีกรุงศรีอยุทธยาอิกกองหนึ่งจึงจะควร
เมื่อศิริไชยนรทาทูลดังนั้น
พระองค์ทรงเห็นชอบด้วย แล้วพระองค์ทรงจัดให้นัดชินหน่องกับสะโตธรรมราชาพระราชโอรส
เปนแม่ทัพคุม ๑๓ ทัพ รวมพลทหาร ๑๐๐๐๐๐ กับช้างรบ ๕๐๐ ม้า ๑๖๐๐๐ สรรพด้วยสาตราอาวุธ
ครั้นเดือน ๑๒ ขึ้น ๕ ค่ำ จุลศักราช ๙๕๔ ก็รับสั่งให้ยกไปตีเจ้าฟ้าเมืองก่อง
แล้วทรงจัดให้มหาอุปราชพระราชโอรสเปนแม่ทัพคุม
๒๔ ทัพ ๆ นี้มีพลทหาร ๒๐๐๐๐ ช้าง ๑๐๐๐ ม้า ๑๒๐๐๐
สรรพด้วยสาตราอาวุธยกไปตีกรุงศรีอยุทธยา ยกเดือน ๑๒ แรม ๑๒ค่ำ
จุลศักราช ๙๕๒ ปี ครั้นยกไปถึงตำบลบ้านลคร พระนเรศนั้นซุ่มอยู่ในป่าด้วยช้างมีกำลัง ๖๐ ตัวกับนายทัพนายกองที่มีฝีมือ ๖๐ คน
จุลศักราช ๙๕๒ ปี ครั้นยกไปถึงตำบลบ้านลคร พระนเรศนั้นซุ่มอยู่ในป่าด้วยช้างมีกำลัง ๖๐ ตัวกับนายทัพนายกองที่มีฝีมือ ๖๐ คน
ฝ่ายมหาอุปราชก็ไม่ทรงทราบกลอุบายของพระนเรศก็ขับให้พลทหารเข้าตีกองทัพพระนเรศเป็นสามารถ
ฝ่ายกองทัพพระนเรศก็ทำเป็นแตกถอยฬอไป
ฝ่ายกองทัพหงษาวดีเห็นได้ทีก็รุกเข้าไป
ขณะนั้นฝ่ายพระนเรศเห็นได้ทีก็ออกจากป่าตีกระหนาบเข้ามาทั้ง
๒ ข้างเปนสามารถ กองทัพหงษาวดีทนมิได้ก็แตกทั้ง ๒๔ ทัพ
พลทหารที่เจ็บป่วยล้มตายก็เปนอันมาก แล้วพระนเรศก็จับตัวเจ้าภูกามเจ้าพสิมไว้ได้
ฝ่ายมหาอุปราชก็หนีเอาตัวรอดไปเฝ้าพระราชบิดาที่กรุงหงษาวดีแล้วพลทหารที่แตกกระจัดกระจายนั้นก็ไม่อาจสามารถที่จะคุมไปได้
ครั้นนายทัพนายกองไปถึงพร้อมพระเจ้ากรุงหงษาวดีก็ทรงพระพิโรธ
พระมหาอุปราชก็ต้องโทษ นายทัพนายกองเหล่านั้นก็ต้องโทษที่ถูกประหารชีวิตร์ก็มี
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ในจุลศักราช
๙๕๓ พระเจ้าหงษาวดีพระองค์ทรงราบว่าพระนเรศจะยกพลมาตีกรุงหงษาวดี
แล้วพระองค์ทรงรับสั่งว่า ซึ่งพระนเรศจะยกมาตีกรุงหงษาวดีนั้น
เพราะฝ่ายเราได้ยกไปตีกรุงศรีอยุทธยามิได้มีไชยชะนะสักครั้งหนึ่งเลย
โดยเหตุนี้พระนเรศได้ใจกำเริบจะยกมาตีกรุงหงษาวดี
แล้วพระองค์รับสั่งให้นายทัพนายกอง ๓๒
เมืองซึ่งขึ้นในมณฑลเมืองมุตมะนั้นยกไปคอยรับที่ตำบลวังยอ
ฝ่ายพระนเรศก็ได้จัดให้ออกยาวังเปนแม่ทัพคุม
ออกยาสวรรคโลก ๑ ออกยาพิไชย ๑ ออกยาพิศณุโลก ๑ รวม ๔ ทัพ ๆ นี้มีช้างรบ ๔๐๐ ม้า
๔๐๐๐ พลทหาร ๕๐๐๐๐ ครั้นยกมาถึงตำบลวังยอ
ฝ่ายกองสอดแนมหงษาวดีทราบจึงได้นำความมาแจ้งแก่แม่ทัพหงษาวดี ๆ
ก็ยกไปถึงตำบลวังยอก็ขับให้พลทหารเข้าตีมิได้คิดแก่ชีวิตร์
ฝ่ายกองทัพพระนเรศทนฝีมือไม่ได้ก็แตกถึงกับต้องพังกำแพงเมืองหนีไปในคืนวันนั้น
พวกกองทัพหงษาวดีก็ตามไปตี ๒-๓ ตำบลก็ไม่ทัน
ครั้นแล้วพวกกองทัพหงษาวดีก็กลับมาทูลพระเจ้าหงษาวดีตามเหตุผลที่ได้กระทำยุทธนานั้น
พระเจ้าหงษาวดีก็มีพระไทยยินดีเปนอันมาก แล้วพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคให้พอสมควร
ในปีนั้นพระเจ้าหงษาวดีทรงเห็นว่ากำแพงเมืองแลประตูหอรบที่กรุงหงษาวดีนั้นไม่สู้แน่นหนานัก
พระองค์จึงมีรับสั่งให้พังกำแพงเมือง
แล้วรับสั่งให้ช่างทำกำแพงเมืองและประตูหอรบให้เหมือนแบบกรุงศรีอยุทธยาทุกประการ
ครั้นเดือน
๑๐ จุลศักราช ๙๕๕
พระเจ้าหงษาวดีพระองค์รับสั่งให้ขุนนางข้าราชการทั้งปวงแลพระมหาอุปราชพระราชโอรสเปนต้นให้เข้าเฝ้า
แล้วพระองค์ทรงตรัสว่าพวกเจ้าทั้งหลายนี้เราได้ชุบเลี้ยงให้ยศศฤงฆารเปนอันมาก
พวกเจ้าทั้งหลายหาตั้งใจที่จะฉลองพระเดชพระคุณแก่เราไม่
เราได้ใช้พวกเจ้ายกกองทัพเปนพยุหใหญ่ไปตีพระนเรศเด็กน้อยที่กรุงศรีอยุทธยาหลายครั้งก็ไม่มีไชยชะนะแก่พระนเรศเด็กน้อยสักครั้งหนึ่งเลย
เพราะพวกเจ้าไปกระทำยุทธนาอ่อนแอพระนเรศจึงมีใจกำเริบ
เพราะฉนั้นในครั้งนี้พวกเจ้าจงตั้งใจยกพยุหใหญ่ไปตีพระนเรศที่กรุงศรีอยุทธยาอิกเทอญ
เราเห็นว่าถ้าพวกเจ้าตั้งใจจริง ๆ แล้วอย่าว่าแต่พระนเรศเล็กน้อยเท่านี้เลย
ถึงแม้ยิ่งกว่าพระนเรศหลายเท่าก็ทนฝีมือไม่ได้ เมื่อพระองค์มีรับสั่งดังนั้น
พระยาลอจึงกราบบังคมทูลว่า ถ้าจะเปรียบไปแล้วกำลังแลทหารของพระนเรศนั้น ๑๐
ส่วนจะเอาสักส่วนหนึ่งของพระองค์นั้นไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ว่าพระนเรศนี้มีอานุภาพกล้าหาญนัก
เมื่อเห็นกองทัพฝ่ายหนึ่งเข้าแล้วพลทหารของพระนเรศมิได้ย่อท้อกลัวเกรงแก่ข้าศึกเลย
เขากลัวแต่เจ้าของเขาเท่านั้น
เพราะฉนั้นข้างฝ่ายพลทหารของพระองค์จะเอาไชยชะนะนั้นยากนักธรรมดาพลซึ่งจะว่ามากว่าน้อยนั้นไม่ได้ต้องอาไศรยกล้าหาญตั้งใจจริง
ๆ จึงจะมีไชยชะนะ
โดยเหตุนี้ขอพระองค์ทรงจัดตั้งแลกำชับให้มหาอุปราชพระราชโอรสเปนแม่ทัพให้ใช้โดยกำลังแข็งแรงกล้าหาญในการสงครามจึงจะควร
ประการหนึ่งพระราชบุตร์ของพระองค์อิก ๒
พระองค์เปนยกกระบัตร์ทัพเปนปลัดทัพยกไปตีกรุงศรีอยุทธยาด้วยพลเปนอันมากแล้ว
ก็เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าจะมีไชยชะนะพระนเรศเปนแน่แท้
พระยาลอทูลดังนั้น
พระเจ้าหงษาวดีก็ทรงเห็นชอบด้วยแล้วทรงจัดให้มหาอุปราชพระราชโอรสเปนแม่ทัพ
ทรงตรัสให้สะโตธรรมราชาพระราชโอรสองค์เล็กเปนปลัดทัพ
ทรงตรัสให้นัดชินหน่องเปนยกกระบัตร์ทัพ รวมทั้งสิ้น ๒๖ ทัพ ๆ นี้ช้างรบ ๑๕๐๐ ม้า
๒๐๐๐๐ พลทหาร ๒๔๐๐๐๐ มีรับสั่งให้ยกจากกรุงหงษาวดีไปตีกรุงศรีอยุทธยาใน ณ วัน ๔ ฯ
๑ จุลศักราช ๙๕๕ ครั้นเดือน ๓ ขึ้น ๘ ค่ำ มหาอุปราชก็เสด็จถึงกรุงศรีอยุทธยา
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ในขณะนั้นมหาอุปราชทรงช้างชื่อภูมิจุน
ปีกขวานั้นรับสั่งให้สะโตธรรมราชาพระอนุชาคุมพลทหารคอยตั้งรบ ปีกซ้ายนั้นรับสั่งนัดชินหน่องคุมพลทหารคอยตั้งรบ
แล้วรับสั่งให้เจ้าเมืองชามะโยขี่ช้างชื่อป๊อกจ่อไชยะ ๆนี้กำลังตกน้ำมัน ๆ
โทรมหน้าถึงกับต้องเอาผ้าปิดหน้าไว้แล้วพระองค์รับสั่งให้คอยอยู่ข้างซ้ายข้างพระที่นั่งของพระองค์
ฝ่ายพระนเรศก็ขี่ช้างชื่อพระละภูมิออกมาพร้อมกับพลทหารครั้นยกมาใกล้พระนเรศเห็นมหาอุปราชทรงช้างยืนคอยอยู่
พระนเรศก็ขับช้างตรงเข้าไปจะชนช้างกับมหาอุปราช
เวลานั้นเจ้าเมืองชามะโยเห็นพระนเรศตรงเข้ามาดังนั้น
ชามะโยก็ขับช้างที่ตกน้ำมันนั้นจะออกรบ
พอเปิดผ้าที่ปิดหน้าช้างไว้แล้วไสช้างนั้นเข้าชนกับช้างพระนเรศช้างนั้นหาชนช้างพระนเรศไม่
กลับมาชนช้างทรงของมหาอุปราชเข้า มหาอุปราชก็ไม่เปนอันที่จะรบกับพระนเรศ
มัววุ่นอยู่กับช้างที่ตกน้ำมันนั้นเปนช้านาน
เวลานั้นพลทหารของพระนเรศก็เอาปืนใหญ่ยิงระดมเข้ามา ลูกกระสุนก็ไปต้องมหาอุปราช ๆ
ก็สิ้นพระชนม์ที่คอช้างพระที่นั่งนั้น ในเวลานั้นตุลิพะละพันท้ายขช้างเห็นว่าพระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์ก็ค่อยประคองพระมหาอุปราชพิงไว้กับอานช้างเพื่อมิให้พระนเรศรู้แล้วถอยออกไป
ขณะนั้นพระนเรศก็ไม่รู้ว่ามหาอุปราชสิ้นพระชนม์ พระนเรศจึงไม่อาจจะตามรบ
ในเวลานั้นนัดชินหน่องซึ่งเปนพระราชอนุชาของมหาอุปราชปีกซ้ายก็ทรงช้างชื่ออุโปสภาเข้าชนกับช้างพระนเรศ
ๆ ทนกำลังมิได้ก็ถอย
ขณะนั้นสะโตธรรมราชาพระอนุชาปีกขวาแลเจ้าเชียงใหม่พระอนุชาของมหาอุปราชก็ช่วยกันตีทัพพระนเรศ
เวลานั้นครั้นนายทัพนายกองหงษาวดีเห็นดังนั้นต่างคนต่างก็ช่วยกันตีเข้าไปมิได้คิดแก่ชีวิตร์กองทัพพระนเรศก็แตกถอยไป
พวกกองทัพหงษาวดีก็ตามตีเข้าไปถึงคูเมือง
พระนเรศก็หนีเข้าเมืองไปได้แล้วก็ตั้งมั่นในเมือง
ในเวลาที่รบกันนั้นพลทหารพระนเรศจับตัวนายทหารหงษาวดีไว้ได้ คือ
เจ้าเมืองถงโบ่นายทหารปีกซ้ายหนึ่ง ๑ กับเจ้าเมืองวังยอ นายทหาร ๒
คนนี้เพราะตามเลยเข้าไปเขาจึงจับไว้ได้
แล้วฝ่ายนายทหารนัดชินหน่องก็จับอำมาตย์ของอยุทธยาไว้ได้
คือ พระยาพาต ๑ พระยาจักร์ ๑
ครั้นแล้วพระอนุชา
๓ พระองค์จึงทรงทราบว่าพระมหาอุปราชพระเชษฐาสิ้นพระชนม์ พระอนุชา ๓
พระองค์ก็มีรับสั่งให้ถอยกองทัพไปจากค่ายเก่าประมาณทาง ๑๐๐ เส้น แล้วตั้งค่ายลง ณ ที่ตำบลนั้น
แล้วพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเปนพระอนุชาและพระอนุชา ๒
พระองค์นั้นได้มีรับสั่งให้ขุนนางข้าราชการนายทัพนายกองเข้าเฝ้าแล้วทรงตรัสว่าจะเอาพระศพของพระมหาอุปราชทำเมรุ
ณ ตำบลนี้หรือ ๆ จะเอาพระศพไปยังกรุงหงษาวดี ใครเห็นควรอย่างใดบ้าง
เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่มีรับสั่งดังนั้นสะโตธรรมราชาซึ่งเปนพระอนุชาทูลว่า
บัดนี้พระเชษฐาธิราชก็สิ้นพระชนม์เสียแล้ว
เพราะฉนั้นเราจะทำยุทธนากับพระนเรศเจ้าอยุทธยาต่อไปนั้นเห็นว่าไม่ควร
ประการหนึ่งซึ่งจะกระทำเมรุ ณ ที่ตำบลนี้นั้นก็จะกระไรอยู่
แลเห็นว่าพระราชบิดาก็จะมีความน้อยพระไทยทรงติเตียนได้
โดยเหตุนี้ขอเอาพระศพของพระเชษฐากลับไปกรุงหงษาวดีก่อนจึงจะควร
อนึ่งในเวลานี้ฝ่ายเราก็ยังมีไชยชะนะอยู่บ้าง
ต่อเมื่อสิ้นฤดูฝนจึงยกมาทำยุทธนาการกับพระนเรศพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาอิกก็จะมีไชยชะนะเปนแน่
เมื่อสะโตธรรมราชาทูลดังนั้น
พระเจ้าเชียงใหม่แลพระเจ้าตองงูและขุนนางข้าราชการนายทัพนายกองทั้งปวงก็เห็นชอบพร้อมกัน
ครั้นแล้วเอาพระศพมหาอุปราชนั้นใส่ในพระโกษทำด้วยไม้มะม่วงแล้วเอาปรอทกลอกเสร็จแล้วก็เชิญพระศพมหาอุปราชแลยกกองทัพกลับกรุงหงษาวดี
ครั้นใกล้จะถึงกรุงหงษาวดี
พระเจ้ากรุงหงษาวดีก็ทรงทราบว่าพระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์
พระองค์ก็ทรงเสด็จยกกองทัพออกมารับพระศพมหาอุปราชพร้อมกับพระอรรคมะเหษี
แล้วพระองค์ได้ทำเมรุใหญ่เปนที่สนุกสนาน
แลพระองค์ทรงบำเพ็ยทานพระราชกุศลด้วยพระราชทรัพย์เปนอันมาก
ในขณะนั้นพระองค์ทรงพระโทมนัศโศรกเศร้าเปนอันมาก
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ครั้น
ณ วัน ๔ ฯ ๓ จุลศักราช ๙๕๕ ทรงตรัสให้อังวะมางแรชะวาพระราชโอรสเปนมหาอุปราชแทน
ครั้นจุลศักราช
๙๕๖ ผู้รักษาเมืองมรแมนคบคิดกับฝ่ายอยุทธยาเปนขบถ เมื่อพระองค์ทรงทราบดังนั้น
พระองค์จึงมีรับสั่งให้ตองงูบุเรงพระราชโอรสเปนแม่ทัพคุมทัพ ๆ นี้เปนช้างรบ ๔๐๐
ม้า ๔๐๐๐ พลทหาร ๘๐๐๐๐ สรรพด้วยสาตราอาวุธให้ยกไปตีพวกขบถ
ครั้นยกไปถึงพวกบรรดามอญก็เข้าสมทบกับพวกอยุทธยาต่อสู้เปนสามารถ
พลทหารพม่าฝ่ายกรุงหงษาวดีทนฝีมือมิได้ก็แตกกระจัดกระจายกลับไปกรุงหงษาวดีสิ้น
เมื่อพระองค์ได้ทราบว่าพลทหารของพระองค์ได้แตกหนีมาเช่นนี้
พระองค์ก็ทรงพระพิโรธตองงูมางพระราชโอรสเปนอันมาก
แล้วทรงตรัสให้ทำโทษศิริธรรมโสกซึ่งเปนนายทหาร แล้วศิริธรรมโสกก็ถึงแก่กรรม
ในปีนั้นมางแรชะวามหาอุปราชพระราชโอรสกระทำจุลาจลให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความเดือดร้อนทุกอกสัตว์
คือรับสั่งไม่ให้ราษฎรทำไร่ทำนา แลเกณฑ์ให้พวกบรรดาราษฎรพม่ามอญเหล่านั้นทำของพระองค์
ครั้นได้เข้าเปนอันมากก็รับสั่งให้เอาขึ้นฉางน้อยใหญ่ไว้เปนอันมาก
แล้วออกประกาศบังคับว่าถ้าผู้ใดอดอยากแล้วให้มาซื้อเข้าของพระองค์ ๆ
จะลดราคาขายเข้าให้น้อยลงกว่าพวกลูกค้าทั้งปวงแล้วบังคับไม่ให้ซื้อเข้าของพวกลูกค้าอื่นด้วย
เมื่อพระองค์ทำดังนั้นพวกราษฎรที่ไม่ได้ทำนานั้นก็อดอยากหนีหายล้มตายเปนอันมาก
เมื่อสะโตธรรมราชาพระอนุชาเห็นว่าพระเชษฐาทำผิดราชประเพณีดังนั้น
ก็ทูลห้ามพระเชษฐา ๆ ก็ไม่ฟังกลับกริ้วหาโทษกับสะโตธรรมราชาพระอนุชา ๆ
กับพระมหาอุปราชวังหน้าก็เกิดเปนอริกันตั้งแต่ครั้งนั้นเปนประถม
ในปีนั้นสุนัขบ้าชุมเหลือประมาณ
พระมหาอุปราชมีรับสั่งให้พลทหารทวนฆ่าสุนัขบ้าเหล่านั้นตายสิ้น
กิติศัพท์ที่บ้านเมืองเกิดจุลาจลนั้นก็ทราบไปถึงพระเจ้ากรุงหงษาวดี
ๆ ก็ทรงพระพิโรธมหาอุปราชเปนอันมาก แล้วทรงรับสั่งให้ราษฎรที่มหาอุปราชกวาดต้อนลงมาจาก
๒ ฟากลำแม่น้ำเอยาวดีนั้นกลับไปทำมาหากินตามภูมิลำเนา
พวกราษฎรที่อดอยากหนีซ่อนเร้นอยู่นั้น
พระองค์มีรับสั่งให้เข้ามาทำมาหากินอยู่ตามเดิมโดยปรกติ
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
ในจุลศักราชปีนั้นเดือนยี่
พระนเรศเจ้ากรุงศรีอยุทธยาก็ยกพลทหารมารวม ๒๔ ทัพ ช้างรบ ๖๐๐ ม้า ๖๐๐๐ พลทหาร ๑๒๐๐๐๐
ครั้นถึงเมืองมรแมนก็เข้าสมทบกับผู้รักษาเมืองมรแมนซึ่งได้เป็นขบถครั้งก่อนนั้น
แล้วพระนเรศกับผู้รักษาเมืองมรแมนก็เข้าบรรจบทัพยกมาตีกรุงหงษาวดี
ครั้นถึงกรุงหงษาวดี พระนเรศก็ตั้งค่ายลงมั่นไว้
ในขณะนั้นนายทหารดาบทองของพระเจ้าหงษาวดีที่พระนเรศจับได้เปนเชลยเมื่อครั้งพม่าไปตีกรุงศรีอยุทธยานั้น
ก็คอยหาช่องโอกาศที่จะหนีจากค่ายพระนเรศ
ครั้นมาวันหนึ่งได้ช่องโอกาศก็พาบ่าวของตัวได้คนหนึ่งก็หนีออกมาได้
แล้วก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าหงษาวดี ๆ มีพระไทยยินดีโปรดปรานเปนอันมาก
แล้วทรงเลื่อนยศให้เปนไชยะนันทมิตร์ แล้วพระราชทานเครื่องยศให้เปนอันมาก
ฝ่ายพระนเรศตั้งค่ายอยู่ที่กรุงหงษาวดีได้ประมาณ
๔ เดือนก็ทราบข่าวว่า พระเจ้าเชียงใหม่ ๑ พระเจ้าปะเย ๑ พระเจ้าตองงู ๑
สามองค์ได้ยกพลทหารเปนอันมากมาช่วยพระราชบิดาที่กรุงหงษาวดีเมื่อพระนเรศทราบเหตุว่ายกพลมาช่วยพระเจ้าหงษาวดีมาก
พระนเรศก็เสด็จกลับกรุงศรีอยุทธยาในมหาสงกรานต์
ครั้นเสด็จไปถึงเมืองมุตมะก็เก็บกวาดต้อนพวกมอญที่ฝั่งตวันออกไปกรุงศรีอยุทธยาเปนอันมาก
ในขณะนั้นพระเจ้าเมืองปะเยสะโตธรรมราชาพระราชโอรสองค์เล็กนั้นเปนขบถ
ทำเปนยกพลมาช่วย ครั้นถึงเมืองตองงูทราบว่าพระเจ้าเมืองตองงูไม่อยู่ไปช่วยราชการพระราชบิดาดังนั้น
สะโตธรรมราชาก็เข้าตีเมืองตองงู
เวลานั้นนัดชินหน่องพระราชบุตร์ของพระเจ้าตองงูก็ปิดประตูลงเขื่อนขับให้พลทหารขึ้นรักษาบนเชิงเทิน
แล้วรับสั่งให้เอาปืนใหญ่น้อยยิงระดมลงมา ยิงกันอยู่ได้ประมาณ ๑๕
วันก็ทราบว่าพระเจ้าตองงูเสร็จราชการแล้วเสด็จกลับเมืองตองงู
เมื่อสะโตธรรมราชาทราบดังนั้นก็เก็บต้อนราษฎรผู้หญิงโคกระบือได้แล้วก็ถอยกลับไปเมืองน้อยได้
๖ เมืองแลตีภูกามใหญ่ได้เมืองหนึ่งรวม ๗ หัวเมือง
แล้วสะโตธรรมราชาก็ตั้งตัวแข่งเมืองต่อพระราชบิดา
ครั้นจุลศักราช
๙๕๘ เดือน ๖ ปีนั้นมีหนูข้ามมาจากฝั่งตวันตกมาฝั่งตวันออกเปนอันมาก
ขณะนั้นมางแรชะวามหาอุปราชรับสั่งให้พลทหารฆ่าฟันหนูนั้นตายเปนอันมาก
ถึงกระนั้นก็ไม่หวาดไหว หนูก็เข้ากินเข้าที่ฉางน้อยใหญ่นั้นบกพร่องหมดลงเปนอันมาก
ปีนั้นเข้าปลาเสบียงอาหารแพงเข้าถังหนึ่ง ๑๐๐ บาทก็ยังไม่มีที่ซื้อ
ขณะนั้นพวกเชลยที่ได้มาจากเมืองล้านช้างรวมประมาณสัก
๑๐๐๐ คนเศษนั้น ได้อดอยากเข้าแพงก็หนีไปเมืองล้านช้าง
เมื่อพระองค์ทรงทราบดังนั้นจึงให้พลทหารตามจับ
ที่จับได้นั้นมีรับสั่งให้ประหารชีวิตร์เสียสิ้น
ในเวลานั้นพระองค์ทรงเห็นว่าสะโตธรรมราชาพระราชโอรสของพระองค์แลฝ่ายพระนเรศพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยารบกวนบ้านเมืองเหลือที่จะปราบปราม
พระองค์จึงมีรับสั่งให้ต้อนพวกราษฎรชายหญิงข้างฝ่ายหัวเมืองทิศเหนือนั้นเข้ามาอยู่ที่กรุงหงษาวดีสิ้น
ขณะนั้นพระภาคิไนย
นัดชินหน่องทูลขอช้างชื่ออุโปสะถะ ข้างฝ่ายเชียงใหม่นั้น
มางสาตุลองซึ่งเปนพระปะนัดดาทูลขอช้างชื่อชมภูใจข้างฝ่ายราชบุตร์ยองยันสะขินลัด
ซึ่งเปนพระภาคิไนยนั้นทูลขอช้างชื่อชมภูตะชิก ( แปลว่าตราชมภู )
แต่พระองค์ไม่พระราชทานให้ตามทูลขอนั้น
พวกพระอนุฃาแลราชโอรสแลพระภาคิไนยเหล่านั้นก็มีความน้อยพระไทยตามกันแล้วกล่าวว่าสะโตธรรมราชาพระราชบุตร์ของพระองค์แล้วยังเปนขบถแข่งเมือง
พวกเราจะนั่งนิ่งเช่นนี้ไม่ควร ต้องแข่งเมืองบ้าง
ที่เราทูลขอช้างก็เพื่อเอาไว้รักษาบ้านเมืองของพระองค์เท่านั้นเรามิได้เอาไปเปนอณาประโยชน์ของเราเลย
เมื่อต่างคนต่างรับสั่งดังนั้นก็แข่งเมืองขึ้น
ขณะนั้นที่กรุงหงษาวดีเกิดจุลาจลต่าง
ๆ ต่างคนต่างแข่งเมืองขึ้นสิ้น พระเจ้ากรุงหงษาวดีมีรับสั่งแก่ขุนนางข้าราชการว่า
บัดนี้เราตั้งใจจะให้มางแรชวามหาอุปราชขึ้นครองราชสมบัติต่อไป
แต่บัดนี้มหาอุปราชเขาหนีไปเข้าด้วยตองงูบุเรงพระเจ้าอาว์เขานั้นก็สมควรแล้ว
เพราะฉนั้นเราก็ชราถึงเพียงนี้แล้วเราจะไม่ครองราชสมบัติต่อไปแล้ว
เราจะพึ่งแต่บุญบารมีของพระอนุชาเรากว่าชีวิตร์จะหาไม่เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งดังนั้นแล้ว
พระองค์จึงยกราชสมบัติให้พระอนุชาซึ่งเปนเจ้าเมืองตองงูขึ้นครองราชสมบัติ
แต่พระองค์นั้นเสด็จไปประทับอยู่ที่พระตำหนักพระมะเหษี
กรุงหงษาวดีให้เสียแก่พระอนุชา ณ วัน ๑ ฯ ๒ จุลศักราช ๙๖๑
กิติศัพท์อันนี้ก็ทราบไปถึงพระนเรศ
ๆ ก็รีบจัดพลทหาร ๒๔ ทัพยกมาโดยเร็ว
ฝ่ายตองงูบุเรงพระเจ้าหงษาวดีใหม่ทราบว่าพระนเรศยกพลมาจึงมีรับสั่งให้ขุนนางข้าราชการเข้าเฝ้า
แล้วทรงตรัสว่าบัดนี้พระนเรศยกมานั้น เราจะตั้งรบที่กรุงหงษาวดีหรือ ๆ จะยกไปตั้งที่เกตุมดี
( คือเมืองตองงู ) ดี ขณะนั้นขุนนางข้าราชการบางพวกทูลว่า
ให้เจ้าเมืองระแขงซึ่งมาช่วยพระองค์นี้กับพลทหารกรุงหงษาวดีบรรจบกันตั้งตีแล้วพระนเรศที่ไหนจะสู้บุญบารมีของพระองค์ได้
เวลานั้นนันทจอถิงทูลว่าซึ่งพระองค์จะให้ตั้งรบที่กรุงหงษาวดีนั้นข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯว่าไม่ควร
เพราะเหตุว่ากรุงหงษาวดีนี้พวกมอญมาก
แลพวกมอญเหล่านี้ก็เปนน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพระนเรศ
โดยเหตุนี้ขอพระองค์ทรงเสด็จยกไปตั้งรบที่เมืองเกตุมดีจึงจะควร
แต่กรุงหงษาวดีนี้ให้เจ้าเมืองระแขงคอยอยู่รักษาป้องกันจึงจะชอบกล
เมืองนันทจอถิงทูลดังนั้น
พระเจ้าหงษาวดีทรงเห็นชอบด้วยพระองค์จึงเก็บรวบรวมพระพุทธรูปแลพระไตรปิฎกกับสมณชีพราหมณ์ราษฎรชายหญิงพม่า
แขก สยาม แลทรัพย์สิ่งของทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็เสด็จยกไปอยู่ ณ เมืองเกตุมดีสิ้น
เสด็จยกจากกรุงหงษาวดี ณ วันขึ้น ๒ ค่ำ เดือนจุลศักราช ๙๖๑ แต่ที่กรุงหงษาวดีนั้นให้เจ้าระแขงอยู่รักษาครั้งเดือน
๔ แรม ๕ ค่ำ ก็เสด็จถึงเมืองเกตุมดี
เมื่องเสด็จถึงนั้นพระองค์รับสั่งให้ซ่อมแซมป้อมค่ายคูประตูหอรบไว้โดยแน่นหนามั่นคงแล้วให้เอาปืนใหญ่น้อยขึ้นรักษาทุกช่องโดยกวดขัน
ฝ่ายพระนเรศพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาทราบว่าพระเจ้าหงษาวดีเสด็จไปตั้งอยู่ที่เมืองเกตุมดี
พระนเรศก็ยกพลตามไป ครั้นถึงตำบลจะวะมะกูจรุณชอง ( แปลงว่าเกาะจะวะมะกู
ชองนั้นคือแปลว่าคลอง ) พระนเคศก็ตั้งค่ายใหญ่ลงที่ตำบลนั้นโดยแน่นหนามั่นคง
แล้วพระนเรศรับสั่งให้คนถือสารเข้าไปยังพระเจ้าหงษาวดี ใจความว่าซึ่งเราได้ยกพลมานี้
เรามิได้คิดจะรบกับเจ้าตองงูเลย
ด้วยเราจะมาขอพระเจ้าหงษาวดีเก่าซึ่งเปนพระเชษฐาของท่านนั้น
เพราะเรานับถือพระองค์ดุจเหมือนพระพุทธองค์ ๆ หนึ่ง
เมื่อพระเจ้าหงษาวดีได้ทราบพระราชสาสน์ดังนั้น
จึงได้รับสั่งตอบไปกับผู้ถือสาสน์ว่า เราให้ไปไม่ได้ ซึ่งพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาว่านับถือดุจดังพระนั้นไม่จริง
เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใด จะว่าไปเปนพระของเราจึงจะถูก
ครั้นพระนเรศทรงทราบดังนั้นก็รับสั่งให้พลทหารเข้าตีเมืองเกตุมดี
บ้างขุดกำแพงบ้างปีนกำแพงเปนสามารถ
ฝ่ายข้างพลทหารพระเจ้ากรุงหงษาวดีก็เอาปืนใหญ่น้อยระดมลูกกระสุนปืนก็ถูกพลทหารอยุทธยาล้มตายเปนอันมาก
แลทำลายกำแพงเมืองไม่ได้ก็ล้อมไว้
ขณะนั้นฝ่ายพระเจ้าเมืองระแข่งทราบว่าพระนเรศยกพลมาเจ้าเมืองระแข่งจึงเอาไฟเผาเมืองหงษาวดีเสีย
แล้วเจ้าระแข่งก็ยกพลไปคอยซุ่มอยู่ที่ตำบลลำแม่น้ำที่กองลำเลียงของอยุทธยาจะยกมานั้นครั้นพลทหารกองลำเลียงยกมาถึงที่ซุ่ม
เจ้าระแข่งก็ขับให้พลทหารตีกองลำเลียงอยุทธยาแตกแลล่มจมน้ำสิ้น
กองลำเลียงเสบียงอาหารก็ส่งไม่ถึงกองทัพพระนเรศได้สักครั้งหนึ่ง
พลทหารของพระนเรศก็อดอยากล้มตายเปนอันมาก ครั้นเสบียงอาหารขาดประมาณสักเดือนหนึ่งพระนเรศทนมิได้ก็ยกกองทัพไป
พระนเรศถอยจากที่ล้อมเมืองเกตุมดีนั้น
ณ วัน ๗ ฯ ๖ จุลศักราช ๙๖๒
ครั้นพระนเรศเสด็จยกไปถึงเมืองมุตมะก็เรียกพวกบรรดามอญทั้งปวงมาถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาสิ้น
แล้วพระองค์ทรงตั้งให้พระยาทะลเปนอันมาก แล้วรับสั่งให้พระสะแบ๊บรักษาเมืองทวาย
เมื่อพระองค์ทรงจัดทางฝั่งตวันออกเมืองมุตมะเรียบร้อยเสร็จแล้วก็เสด็จกลับกรุงศรีอยุทธยา
ซึ่งพระนเรศทรงเสด็จยกมาตีกองทัพกรุงหงษาวดีครั้งนี้นั้นพระองค์ทรงตั้งพระไทยจะช่วยรบพระเจ้าหงษาวดีองค์เก่าที่ต้องออกจากราชสมบัติ
แล้วก็จะถวายแก่พระเจ้าหงษาวดีที่ออกจากราชสมบัตินั้น
แต่พระองค์เสด็จยกมาช่วยมิทันถึงกรุงหงษาวดี ๆ ก็เสียแก่พระอนุชาของพระเจ้าหงษาวดี
เมื่อพระเจ้าหงษาวดีเสด็จกลับถึงกรุงหงษาวดีแล้วนั้น
นัดชินหน่องราชบุตร์ของพระเจ้าหงษาวดีองค์ใหม่ทูลกับพระราชบิดาว่า
ซึ่งพระองค์จะเอาพระราชสมบัติไว้นั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่าไม่ควร
เพราะเหตุว่าเปนหลักตอใหญ่แก่บ้านเมืองอันหนึ่ง
เมื่อนัดชินหน่องราชบุตร์ทูลดังนั้น
พระองค์ทรงพิโรธแก่ราชบุตร์เปนอันมากแล้วทรงตรัสว่าตั้งแต่วันนี้เจ้าอย่าได้คิดหรืออย่าได้พูดต่อไป
เพราะกูนับถือพระเชษฐาของกูดุจเหมือนพระองค์หนึ่ง
ที่กูให้พระองค์ออกจากราชสมบัติครั้งนี้นั้นก็มิได้ตั้งใจจะเอาบ้านเมืองเปนประโยชน์ของกู
ๆ เห็นบ้านเมืองจะเกิดจุลาจลกูจึงขึ้นครองราชสมบัติชั่วคราว
เมื่อกูปราบปรามความยุคเข็ญบ้านเมืองราบคาบเรียบร้อยกูจะถวายคืน
ครั้นเดือน
๑๒ แรม ๑๐ ค่ำ จุลศักราช ๙๖๒
นัดชินหน่องราชบุตร์ก็แอบแฝงเข้าไปในวังของพระเจ้าลุงโดยเวลากลางคืน
ครั้นได้ทีก็เอาพระแสงฟันพระเจ้าหงษาวดีองค์เก่า ๆ
ก็สวรรคตในคืนวันนั้นครั้นรุ่งเช้ากิติศัพท์ก็ทราบถึงพระเจ้าหงษาวดีใหม่ ๆ
ก็เสียพระไทยเศร้าโศกเปนอันมาก
เจ้าเมืองระแข่งครั้นเห็นว่าพระนเรศเสด็จกลับกรุงศรีอยุทธยาก็เข้าเฝ้าทูลพระเจ้าหงษาวดี
ๆ
ก็พระราชทานธิดาของพระองค์ทรงพระนามว่าจินมะหน่องให้กับเจ้าเมืองระแข่งไปตามที่สัญญาไว้แต่เดิม
ขณะนั้นพระยาทะละเจ้าเมืองมุตมะแลเจ้าเมืองสังเลียงกับเจ้าอยุทธยาเปนพวกเดียวกัน
เพราะฉนั้นพระเจ้าหงษาวดีจึงต้องทำพระราชไมตรีไว้กับเจ้าเมืองสังเลียง
พระยาทะละเจ้าเมืองมุตมะ
ครั้น
ณ วัน ๓ ฯ ๙ จุลศักราช ๙๗๑ พระเจ้ากรุงหงษาวดีสวรรคต พระชนม์ ๕๘ พรรษา
ทรงพระนามพระเจ้าธรรมราชา
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วนัดชินหน่องราชบุตร์ขึ้นครองราชสมบัติ
ณ วัน ๑ ฯ ๙ จุลศักราช ๙๗๑ ทรงพระนามว่าสีหสูร
แล้วเสด็จไปสร้างพระราชวังอยู่ที่กรุงอังวะ
ครั้นจุลศักราช
๙๗๔ พระเจ้าอยุทธยาพระนเรศทรงเสด็จยกกองทัพ ๒๐ ทัพ
ยกมาทางเชียงใหม่จะไปตีเมืองอังวะ
ครั้นเสด็จมาถึงเมืองแหนแขวงเมืองเชียงใหม่ก็ทรงประชวนโดยเร็วพลันก็สวรรคตในที่นั้น
มหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า ในสมัยพระนเรศวร
วิชัย พรหมเมตตา